Adjectives ( articles -a/an )
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
สำนวนภาษาอังกฤษ
วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555
Adjectives ( articles -a/an )
Adjectives ( articles -a/an )
การใช้ If-clause
การใช้ If-clause
1. If-clause แบบที่1 ใช้สมมุติในสิ่งที่เป็นไปได้และเป็นจริง ประโยค if-clause เป็น present simple ประโยค main-clause จะเป็น future simple
# if-clause ==> v.1
# main-clause ==> will, shall, can, may + v.1
If Cluase + future tense
- If it doesn't rain tomorrow, we will have a picnic.
- I will be able to do this exercise if I try.
# ถ้าเป็นความจริงเสมอ main-clause ให้ใช้ present simple
- If the ice falls into the water, it floats.
# กริยาใน main-clause เป็นคำสั่ง หรือ ขอร้อง ให้ใช้ present simple
- If the teacher asks you, tell him the truth. (คำสั่ง)
- If you leave, please turn out the light. (ขอร้อง)
# If-clause แบบที่1นี้ สามารถใช้ should แทน if ได้
- Should he refuse to leave, telephone Mr. John.
= If he refuse to leave, telephone Mr. John.
# unless = if not; ประโยคหลัง unless จะเป็นประโยคบอกเล่า ไม่อย่างนั้นจะเป็นปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ
- Malee will not come unless she has time.
- Malee will not come if she has no time.
2. If-clause แบบที่2 ใช้สมมุติในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้หรือไม่เป็นจริงในปัจจุบัน ประโยค if-clause เป็น past simple ประโยค main-clause จะเป็น future in the past หรือ conditional tense
# if-clause ==> v.2
# main-clause ==> would, should, could, might + v.1
- If I had more time, I would read more books. [ขณะปัจจุบันนี้ไม่มีเวลามากพอ]
- If I were you, I would not let him say such things. [ใช้ were กับทุกบุรุษ ไม่ใช้ was]
# เราสามารถละ if โดยเอากริยาช่วย were ในประโยค if-clause มาไว้หน้าประโยคแทน
- If he were to leave (If he left) )today, he would be there by Friday.
= Were he to leave today, he would be there by Friday.
3. If-clause แบบที่3 ใช้สมมตุในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย หรือตรงกันข้ามกับความจริงในอดีต ประโยค if-clause เป็น past perfect ประโยค main-clause จะเป็น future perfect in the past หรือ perfect conditional
# if-clause ==> had + v.3
# main-clause ==> would, should, could, might + have + v.3
- If I had had her e-mail address, I would have written to her.
# ถ้าเป็นเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันสังเกตจาก now ให้เปลี่ยน Tense ใน main-clause จาก would have + v.3 เป็น would + v.1
- If there had been no floods last year, the crop would be better now.
# เราสามารถละ if โดยเอากริยาช่วย had ในประโยค if-clause มาไว้หน้าประโยคแทน
- If I had known that, I would have lent you mine.
= Had I known that, I would have lent you mine.
*หมายเหตุ: นอกจากคำว่า if แล้ว ยังมีคำอื่นๆที่ใช้ในประโยคเงื่อนไข ได้แก่
a) suppose หรือ supposing = สมมุติว่า
b) on condition that หรือ on the condition that = โดยมีเงื่อนไขว่า
c) so long as หรือ as long as = ถ้า, ตราบใดที่
d) what if = สมมุติว่า
If-clause
If Clause หรือ Condition Clause หมายถึงประโยคที่แสดงหรือกำหนดเงื่อนไข ขึ้นในเวลาที่่ต่างๆ กัน แต่เวลาที่พูดนั้นเกิดขึ้นในขณะปัจจุบันรูปกริยาที่ต่างกันใน If-clauseเป็นเพียงตัวบ่งให้ทราบว่าเป็น เงื่อนไขแบบใดเท่านั้น
ประโยค If-clause (ประโยคเงื่ืี่่อนไข) จะประกอบด้วย
1. ส่วนที่เป็นเงื่อนไข (If Clause)
2. ส่วนที่เป็นข้อความหลัก (Main Clause)
# if-clause ==> v.1
# main-clause ==> will, shall, can, may + v.1
If Cluase + future tense
- If it doesn't rain tomorrow, we will have a picnic.
- I will be able to do this exercise if I try.
# ถ้าเป็นความจริงเสมอ main-clause ให้ใช้ present simple
- If the ice falls into the water, it floats.
# กริยาใน main-clause เป็นคำสั่ง หรือ ขอร้อง ให้ใช้ present simple
- If the teacher asks you, tell him the truth. (คำสั่ง)
- If you leave, please turn out the light. (ขอร้อง)
# If-clause แบบที่1นี้ สามารถใช้ should แทน if ได้
- Should he refuse to leave, telephone Mr. John.
= If he refuse to leave, telephone Mr. John.
# unless = if not; ประโยคหลัง unless จะเป็นประโยคบอกเล่า ไม่อย่างนั้นจะเป็นปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ
- Malee will not come unless she has time.
- Malee will not come if she has no time.
2. If-clause แบบที่2 ใช้สมมุติในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้หรือไม่เป็นจริงในปัจจุบัน ประโยค if-clause เป็น past simple ประโยค main-clause จะเป็น future in the past หรือ conditional tense
# if-clause ==> v.2
# main-clause ==> would, should, could, might + v.1
- If I had more time, I would read more books. [ขณะปัจจุบันนี้ไม่มีเวลามากพอ]
- If I were you, I would not let him say such things. [ใช้ were กับทุกบุรุษ ไม่ใช้ was]
# เราสามารถละ if โดยเอากริยาช่วย were ในประโยค if-clause มาไว้หน้าประโยคแทน
- If he were to leave (If he left) )today, he would be there by Friday.
= Were he to leave today, he would be there by Friday.
3. If-clause แบบที่3 ใช้สมมตุในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย หรือตรงกันข้ามกับความจริงในอดีต ประโยค if-clause เป็น past perfect ประโยค main-clause จะเป็น future perfect in the past หรือ perfect conditional
# if-clause ==> had + v.3
# main-clause ==> would, should, could, might + have + v.3
- If I had had her e-mail address, I would have written to her.
# ถ้าเป็นเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันสังเกตจาก now ให้เปลี่ยน Tense ใน main-clause จาก would have + v.3 เป็น would + v.1
- If there had been no floods last year, the crop would be better now.
# เราสามารถละ if โดยเอากริยาช่วย had ในประโยค if-clause มาไว้หน้าประโยคแทน
- If I had known that, I would have lent you mine.
= Had I known that, I would have lent you mine.
*หมายเหตุ: นอกจากคำว่า if แล้ว ยังมีคำอื่นๆที่ใช้ในประโยคเงื่อนไข ได้แก่
a) suppose หรือ supposing = สมมุติว่า
b) on condition that หรือ on the condition that = โดยมีเงื่อนไขว่า
c) so long as หรือ as long as = ถ้า, ตราบใดที่
d) what if = สมมุติว่า
การใช้ some และ any
การใช้ some และ any
การใช้ some และ any
@@@@@@@@@@
ทั้ง some และ any มีความหมายว่า "บ้าง" แต่ใช้แตกต่างกันดังนี้
1. some ใช้กับประโยคบอกเล่า ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้
เช่น
I have some pens. (ฉันพอจะมีปากกาบ้าง)
John wants some water. (John ต้องการน้ำบ้าง)
There are some books on the table. (มีปากกาอยู่บนโต๊ะบ้าง)
There is some sugar in the bowl. (มีน้ำตาลทรายอยู่ในชามบ้าง)
2. any ใช้กับ
2.1 ประโยคปฏิเสธ ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะ
เปลี่ยนเป็น
"ไม่ ______ เลย" เช่น
I don't have any pens. (ฉันไม่มีปากกาเลยสักด้าม)
John doesn't want any water. (John ไม่ต้องการน้ำเลย)
There aren't any pencils under the table. (ไม่มีดินสออยู่ใต้โต๊ะเลยสักแท่ง)
There isn't any tea in the cup. (ไม่มีน้ำชาอยู่ในถ้วยเลย)
2.2 ประโยคคำถาม ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะ
เปลี่ยนเป็น
"_______ บ้างไหม" เช่น
Do you have any pens? (คุณมีปากกาบ้างไหม)
Does John want any water? (John ต้องการน้ำบ้างไหม)
Are there any books in the schoolbag? (มีหนังสืออยู่ในกระเป๋าเรียนบ้าง
ไหม)
Is there any coffee in the cup? (มีกาแฟอยู่ในถ้วยบ้างไหม)
วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555
การใช้ Verb to be (is, am, are)
การใช้ Verb to be (is, am, are)
Verb to be (is, am, are)
*They are policemen. *Suda and her friends are under the tree.
Verb to be (is, am, are)
Verb to be มีหลักการใช้ ดังนี้
1. ถ้าเป็นกริยาสำคัญในประโยค มีความหมายว่า เป็น อยู่ คือ
2. ใช้วางข้างหน้า กลุ่มคำ adjective ( คำคุณศัพท์ )
3. ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Continuous ( ประโยคที่มี
กริยา ing )
4. ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Passive Voice
( ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ )
หลักการใช้กับประธานในประโยค
1. ถ้าประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 ซึ่งได้แก่ He She It หรือ ชื่อคนคนเดียว
สัตว์ตัวเดียว และสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง Verb to be ที่ใช้ คือ is เช่น
*He is a teacher. *Sam is a singer
*She is in the room. *My father is sleeping.
*It is a dog. *The pencil is on the table
2. ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 1 ( ผู้พูดคนเดียว ) ซึ่งได้แก่ I Verb to be ที่ใช้ คือ am
*I am a student. * I am under the table.
3. ประธานเป็นพหูพจน์ทุกบุรุษ ซึ่งได้แก่ We You They หรือ ชื่อคนหลาย
สัตว์หลายตัว และสิ่งของหลายอันที่ถูกกล่าวถึง Verb to be ที่ใช้ คือ
are เช่น
*We are nurses. *My father and I are in the room.
*You are very good. *The players are in the playground.
การสร้างประโยคที่มี Verb to be ให้เป็นประโยคปฏิเสธ.
มีวิธีการดังนี้
เติม not ลงไปในตำแหน่งที่เรียงต่อจาก Verb to be หลัง is am are เช่น
*He is not in the room. *I am not a child.
*They are not teachers. *Suda is not reading.
หมายเหตุ รูปย่อของ ปฏิเสธ Verb to be คือ is not ย่อเป็น isn’t
am not จะไม่ใช้รูปย่อ are not ย่อเป็น aren’t
การทำประโยคที่มี Verb to be ให้เป็นประโยคคำถาม
Yes No Question
มีหลักการดังนี้
เอา Verb to be มาวางหน้าประโยค และเอาประธานของประโยคมาวาง
เรียงต่อจากVerb to be หลังจบประโยค ต้องใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น
He is in the room. เปลี่ยนเป็น Is he in the room ?
They are soldiers เปลี่ยนเป็น Are they soldiers?
I am a boy. เปลี่ยนเป็น Am I a boy ?
หลักการใช้ Tense ทั้ง 12
หลักการใช้ Tense ทั้ง 12
Tense
Tense คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา ที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆคือ
1. Present tense ปัจจุบัน
2. Past tense อดีตกาล
3. Future tense อนาคตกาล
ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ
1 . Simple tense ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
3. Perfect tense สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).
โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 มีดังนี้
Present Tense
[1.1] S + Verb 1 + ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present] [1.2] S + is, am, are + Verb 1 ing + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
[1.3] S + has, have + Verb 3 + ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
[1.4] S + has, have + been + Verb 1 ing + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
[2.1] S + Verb 2 + …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past] [2.2] S + was, were + Verb 1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
[2.3] S + had + verb 3 + …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[2.4] S + had + been + verb 1 ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
[3.1] S + will, shall + verb 1 +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature] [3.2] S + will, shall + be + Verb 1 ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
[3.3] S + will,s hall + have + Verb 3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[3.4] S + will,shall + have + been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด - เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).
หลักการใช้แต่ละ tense มีดังนี้
[1.1] Present simple tense เช่น He walks. เขาเดิน,
1. ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3. ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก, เข้าใจ, รู้ เป็นต้น.
4. ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5. ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต เช่นนิยาย นิทาน.
6. ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า If (ถ้า), unless (เว้นเสียแต่ว่า), as soon as (เมื่อ,ขณะที่), till (จนกระทั่ง) , whenever (เมื่อไรก็ ตาม), while (ขณะที่) เป็นต้น.
7. ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอๆ), often (บ่อยๆ), every day (ทุกๆวัน) เป็นต้น.
8. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [1.1] ประโยคตามต้องใช้ [1.1] ด้วยเสมอ.
[1.2] Present continuous tense เช่น He is walking. เขากำลังเดิน.
1. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense นี้ไม่ได้.
[1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน และจะมีคำว่า Since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า ever (เคย) , never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้ Tense
4. ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), finally (ในที่สุด) เป็นต้น.
[1.4] Present perfect continuous tense เช่น He has been walking . เขาได้กำลังเดินแล้ว.
* มีหลักการใช้เหมือน [1.3] ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วน [1.4] นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
[2.1] Past simple tense เช่น He walked. เขาเดิน แล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year เป็นต้น.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น yesterday, last month ) 2 อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1] ด้วย.
[2.2] Past continuous tense เช่น He was walking . เขากำลังเดินแล้ว
1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน { 2.2 นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้ 2.2 - ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค เช่น all day yesterday etc.
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1 กับ 2.2 จะดูจืดชืดเช่น He was cleaning the house while I was cooking breakfast.
[2.3] Past perfect tense เช่น He had walk. เขาได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับ เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้ 2.3 เกิดทีหลังใช้ 2.1.
2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง เช่น She had breakfast at eight o’ clock yesterday.
[2.4] past perfect continuous tense เช่น He had been walking.
มีหลักการใช้เหมือนกับ 2.3 ทุกกรณี เพียงแต่ tense นี้ ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด เช่น When we arrive at the meeting , the lecturer had been speaking for an hour . เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1 ชั่วโมง.
[3.1] Future simple tense เช่น He will walk. เขาจะเดิน.
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า tomorrow, to night, next week, next month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย.
* Shall ใช้กับ I we.
Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป.
Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.
[3.2] Future continuous tense เช่น He will be walking. เขากำลังจะ เดิน.
1. ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีกลักการใช้ดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.2 S + will be, shall be + Verb 1 ing.
- เกิดทีหลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .
[3.3] Future prefect tens เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย เช่น by tomorrow , by next week เป็น ต้น.
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.3 S + will, shall + have + Verb 3.
- เกิด ที่หลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .
[3.4] Future prefect continuous tense เช่น He will have been walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
ใช้เหมือน 3.3 ต่างกันเพียงแต่ว่า 3.4 นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
* Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน Tense นี้เด็ดขาด.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)